วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

Mozilla Firefox 15 Final และ Firefox for Android 15 ออกแล้ว!!

Mozilla Firefox 15 Final เวอร์ชั่นเต็มออกแล้ว โดยในเวอร์ชั่นนี้มีการปรับปรุงและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกมากมาย
หลักๆ ได้แก่ ปรับปรุงการใช้งานหน่วยความจำ โดยจะตรวจสอบ Add-On ที่มีปัญหาเรื่องการใช้หน่วยความจำ
หากตรวจพบก็จะดำเนินการแก้ไข, เพิ่ม Silent Update การอัพเดทตัวโปรแกรมอยู่เบื้องหลัง โดยจะไม่แจ้งเตือน
ให้น่ารำคาญ, ปรับปรุง Developer Tools เพิ่ม JavaScript Debugger, รองรับไฟล์เสียง Opus Audio และ
ปรับปรุงเรื่อง WebGL เป็นต้น นอกจาก Firefox 15 Final พร้อมกันนี้ Firefox for Android 15 ก็ออกแล้ว
เช่นกัน ติดตามรายละเอียดอื่นๆ ได้ด้านในครับ
คลิปวิดีโอทดสอบ WebGL บน Mozilla Firefox 15 Final



SkyDrive แอพฯ บริการเก็บและซิงค์ข้อมูลออนไลน์ออกเวอร์ชั่น Android แล้ว


SkyDrive บริการเก็บข้อมูลและซิงค์ข้อมูลออนไลน์จากไมโครซอฟท์ ล่าสุดได้ออกแอพฯ SkyDrive สำหรับ
ผู้ใช้งานแอนดรอยด์แล้ว เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน ทำให้สามารถจัดการและเข้าถึงข้อมูลได้สะดวก
ยิ่งขึ้น สำหร้บฟีเจอร์การทำงานบนเวอร์ชั่นแอนดรอยด์ ใช้งานเหมือนกับบนเวอร์ชั่น iOS และ Windows Phone
เช่น การอัพโหลดรูปภาพหลายภาพพร้อมๆ กัน, แชร์ไฟล์, สร้างหรือลบโฟลเดอร์ได้ตามต้องการ ซึ่งลักษณะการ
ใช้งานทั่วไปก็คล้ายๆ กับ Dropbox นั่นเอง สำหรับใครที่ใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแอนดรอยด์ดาวน์โหลดได้แล้ว


คลิปวิดีโอแนะนำ SkyDrive




มาปั่นจักรยานมัน ๆ กับ BMX Boy บน Android


ใครที่ชอบเกมส์แนว Sport ที่ผมสแนว Action นิดหน่อย OnlineGazine แมกกาซีนออนไลน์ ก็มีมาแนะนำกันอีกหนึ่งเกมส์ครับ ซึ่งเป็นเกมส์แนว ๆ เกี่ยวกับการปั่นจักรยานสุดมันของหนุ่มน้อยคนหนึ่งครับ ที่มีการเล่นท่าทางไปพร้อม ๆ กับการทำภาระกิจในแต่ละด่านที่มีความเร้าใจมากมายครับ นั้นก็คือเกมส์ BMX Boy ครับ เกมส์นี้ถือได้ว่าเป็นอีกเกมส์ที่น่าเล่นพอสมควรครับ มีภาระกิจให้ทำมากพอดูครับ
สำหรับท่านใดที่ชื่นชอบการปั่นจักรยาน พร้อมทั้งเล่นท่าทางต่าง ๆ แล้ว ก็ลองดูนะครับว่าในเกมส์ท่านจะทำได้ดีกว่าหรือไม่ครับ ยังไงก็ Download ไปเล่นกันดูครับ รับรองสนุกครับป๋ม

โปรแกรม backup android application | โหลด app backup android

คุณอาจจำเป็นต้องใช้ โปรแกรม backup android ในหลายๆ กรณีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การ backup application ที่ติดตั้งไว้ บน android เพื่อเก็บข้อมูลของ application android เอาไว้ และใช้กู้คืน กรณีฉุกเฉิน (เครื่อง hang, อัพเดท Rom, อัพเดท firmware android, อัพเกรดเวอร์ชั่น android) หรืออาจใช้ โปรแกรม backup android เพื่อ backup ข้อมูล contact, calendar, ปฏิทิน, ตารางกิจกรรม เป็นต้น มี โปรแกรม backup บน android ให้เลือก โหลด มาใช้ อยู่มากมายบน Google Play แต่บทความนี้ ผมจะมาแนะนำ วิธีการ backup application ที่ติดตั้ง อยู่บนอุปกรณ์ android ของคุณ แบบง่าย โดยใช้ Android app เจ๋งๆ มาใหม่ ใช้งานง่าย ที่ชื่อว่า "App2Zip" ครับ
โปรแกรม Backup android "APP2ZIP"



App2Zip เป็น ฟรี app android สำหรับ ใช้ในการ backup application ที่คุณได้ติดตั้งไว้บน โทรศัพท์ android หรือ อุปกรณ์ tablet android ของคุณ พัฒนาโดย SCDevs ช่วยให้คุณ สามารถทำการ backup application android ให้อยู่ในรูปแบบของ ไฟล์ Zip 

การใช้งาน App2Zip แบบง่ายๆ ให้เข้าไปใน application หลังจากนั้น เลือก แอพพลิเคชั่น android ที่ต้องการ backup ข้อมูลเก็บไว้ กด GO ได้เลยครับ จากนั้นโปรแกรมจะสร้าง ไฟล์ update.zip ขึ้นมา  

เนื่องจาก app android ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา จึง สนับสนุนการใช้งาน ได้กับ Android บางรุ่นเท่านั้น และจะต้องเป็น root android เท่านั้นครับ



Amazon เปิดตัวแท็บเล็ต Kindle Fire HD และ Kindle Fire รุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้นเพียง 4,800 บาท

ช่วงเดียวกันของปลายปีที่แล้ว Amazon ได้เปิดตัว Kindle Fire (รายละเอียด) หรือแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ทำให้วงการแท็บเล็ตทั่วโลกต้องร้อนระอุ เพราะเป็นแท็บเล็ตจากแบรนด์คุณภาพตัวแรกที่มีราคาถูกและสเปคน่าสนใจอย่างยิ่ง และล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมาทาง Amazon ก็ได้ทำการเปิดตัว Kindle Fire HD และปรับปรุงสเป็คของ Kindle Fire ใหม่ให้แรงขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับราคาลงให้เหลือเพียง 159 ดอลลาร์หรือประมาณ 4,800 บาทเท่านั้น (ก่อนหน้านี้ 199 ดอลลาร์ หรือ 6 พันบาท)
Kindle Fire HD
  • ใช้ซีพียู TI OMAP4470 ความถี่ 1.5GHz แบบดูอัลคอร์ (รุ่น 7″ ใช้ TI OMAP 4460 ความถี่ 1.2GHz ดูอัลคอร์)
  • หน้าจอ LCD IPS ขนาด 8.9″ ความละเอียด 1920×1200 พิกเซล 254 PPI (รุ่น 7″ ความละเอียด 1280×800 พิกเซล 215 PPI) รองรับมัลติทัชสิบจุด
  • มีสองความจุ 16GB และ 32GB
  • กล้องหน้าความละเอียดระดับ HD
  • ลำโพงสเตอริโอไดรเวอร์คู่ พร้อมเอนจิน Dolby Digital Plus
  • รับ Wi-Fi ได้ทั้งย่าน 2.4GHz และ 5GHz มีเสาภายในสองเสา สำหรับเทคโนโลยี MIMO (เป็นแท็บเล็ตตัวแรกที่มีใช้)
  • มีบลูทูธ และ HDMI-out
  • หนา 8.8 มม. หนัก 557 กรัม (รุ่น 7″ หนา 10 มม. หนัก 394 กรัม)

New Kindle Fire
  • ซีพียู TI OMAP4430 ความถี่ 1.2GHz แบบดูอัลคอร์
  • หน้าจอสัมผัสขนาด 7″ ความละเอียด 1024×600 พิกเซล
  • เพิ่มแรมเป็น 1GB พื้นที่ภายใน 8GB
  • หนา 11.5 มม. หนัก 400 กรัม
และก็แน่นอนครับแท็บเล็ตในตระกูล Kindle Fire ยังคงไม่มีแผนเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยจะวางขายวันที่ 20 พฤศจิกายน ในสหรัฐฯ และบางประเทศในยุโรปครับ



ความเข้าใจพื้นฐานของ Build.prop และ Fingerprint เพื่อประยุกต์ใช้กับ Android Tablet จีน หรือ iPad จีน


สำหรับบางท่านที่ไม่รู้ว่า build.prop คืออะไร  ผมขอให้เป็นเกร็ดความรู้เล็กน้อยดังนี้

build.prop เป็นไฟล์ที่อยู่ใน system ของ Android ทุกเครื่องไม่ว่าจะเป็น Android Phone หรือ Android Tablet เพื่อบ่งบอกว่าเครื่องนี้ใช้ Processors แบบไหน สามารถรองรับ App อะไร, บอกเวอร์ชั่นของไดร์เวอร์การ์ดจอ (graphics driver), บอกเครื่องว่าควรแบ่ง Memory แค่ไหนในการจัดการ Application, ความถี่ในการสแกนหา Wifi Access Point และยังมีอื่นๆให้ปรับแต่งอีกมาก ซึ่งการปรับแต่งเหล่านี้มีทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพให้เครื่อง หรือรวมถึงการปรับแต่งเพื่อประหยัดแบตเตอรี่ได้ก็มาจากส่วนนี้ อาจพูดได้ว่าบางครั้ง Custom ROM ก็เกิดจากการปรับแต่งเล็กๆน้อยๆนี่เอง

การแก้ไข build.prop จำเป็นที่ต้องมีเครื่องที่ผ่านการ Root มาก่อน สำหรับคนที่ไม่ทราบว่า Root คืออะไร ลองอ่านเพื่อศึกษานะครับ

Fingerprint

ทีเด็ดคือ Fingerprint หรือ ลายนิ้วมือถ้าแปลตรงตัว ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากในการที่ Market/Play Store จะตรวจสอบจากเครื่อง ทำให้สังเกตได้ว่า  iPad จีน บางครั้งไม่สามารถดาวน์โหลดแอพแบบเครื่องแบรนด์ดังๆได้ ซึ่ง Fingerprint ก็คือสาเหตุนี่เอง บางส่วนมีการลงทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้วกับ Google เช่น Samsung, LG

ผลสรุปของการ Tweak หรือแก้ไข Build.prop บางครั้งก็คือการเปลี่ยน "ลายนิ้วมือ" ให้เป็นแบบเดียวกับสินค้าแบรนด์ซะเลย ทำให้เราสามารถโหลดแบบเครื่องแบรนด์ได้เลยนั่นเอง ฉะนั้นข้อสรุปที่ดีคือ แม้การเลือกใช้ fingerprint สินค้าแบรนด์จะเป็นวิธีที่ฉลาด แต่ก็ควรเลือกใช้ตัวที่สเปคใกล้เคียงกับ Tablet ของเราที่สุดก็จะดีที่สุด

แต่ข้ออันตรายอย่างหนึ่งที่ควรทราบคือการแก้ไข build.prop อาจฟังดูง่ายแต่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจอย่างมาก เพราะหากทำไม่เป็น หรือไม่รู้จริงก็อาจจะงานเข้า ทำให้เครื่อง Brick เปิดไม่ติด หรือ Boot ค้างที่ Android ได้เช่นกันครับ

วิดีโอตัวอย่างการแก้ไข Build.prop อย่างง่าย (เครื่องต้อง Root ก่อนนะครับ)

หน้าจอทัชสกรีนแบบ Resistive กับ Capacitive ต่างกันยังไง


หน้าจอทัชสกรีนแบบ Resistive กับ Capacitive ต่างกันยังไง

   ระบบหน้าจอสัมผัสบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นมีมาช้านานแล้วตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งระบบหน้าจอสัมผัสจริงๆแล้วนั้นแพร่หลายอยู่บนเครื่องอุปกรณ์พกพาในรูปแบบต่างๆที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เช่นพวกเครื่องเก็บเงินตามโต๊ะแคชเชียร์ หรืออุปกรณ์เช็คสต๊อคสินค้าต่างๆ เพราะด้วยความสะดวกที่มีมากกว่าจะต้องใช้ Keyboard หรือ Mouse ในการสั่งการ เพราะหน้าจอระบบสัมผัสส่วนมากจะสามารถใช้นิ้วแตะเพื่อป้อนคำสั่งได้อยู่แล้ว จนในที่สุดระบบหน้าจอสัมผัสมันเลยกลายเป็นเอกลักษณ์อันโดเด่นสำหรับอุปกรณ์พกพาในรูปแบบ PDA ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกที่ PDA เกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง Newton ของ Apple หรือแม้แต่ Palm สุดยอด PDA ยอดนิยมเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
   ระบบหน้าจอสัมผัสมันเริ่มเกิดความสับสนและวุ่นวายมากขึ้นเมื่อสองสามปีที่ผ่านมานี้เองครับ ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจเกี่ยวกับระบบหน้าจอสัมผัสของเครื่อง PDA Phone กันสักเท่าไร เพราะรู้กันว่า PDA Phone ในโลกแทบทุกเครื่องเป็นระบบหน้าจอสัมผัสกันหมด และก็จะมีแท่งปากกา ที่เรียกว่า Stylus เอาไว้จิ้มใช้สั่งงาน แต่ไอ้เรื่องวุ่นๆเกี่ยวกับหน้าจอมันเกิดขึ้นมาจาก iPhone ตัวเดียวจริงๆที่ปลุกกระแสหน้าจอแบบ Capacitive ให้เกิดขึ้นมา เพราะแรกๆเมื่อสัมผัส iPhone จะรู้สึกทันทีว่ามันแตะได้หนึบติดนิ้วดีมาก แต่พอเอา Stylus ของเครื่อง PDA phone ทั่วไปมาจิ้มกลับไม่สามารถสั่งงานได้ เลยเป็นคำถามคาใจว่าหน้าจอระบบทัชสกรีนซึ่งปกติเอา Stylus จิ้มได้นั้น ปัจจุบันมันมีกี่แบบกันแน่
   ในความเป็นจริงแล้วหน้าจอทัชสกรีนนั้นมันมีหลากหลายรูปแบบมากครับ แต่ที่นิยมใช้ในเครื่อง PDA Phone ยุคนี้ก็จะมีอยู่สองแบบคือ แบบ Resistive กับ Capacitive และด้วยเรื่องรูปแบบของระบบสัมผัสหน้าจอนี้แหละมันเลยกลายเป็นจุดขายอย่างหนึ่งของเครื่องยุคปี 2009 เพราะเนื่องจากระบบ Touch interface มันเกิดได้รับความนิยมสูงสุดแบบไม่เคยมีมาก่อนมันเลยงานเข้าเลยหละทีนี้ ทำให้คนให้ความสำคัญการทำงานด้วยนิ้วเป็นหลัก แต่เครื่อง PDA Phone ในตลาดส่วนมากจะเป็นหน้าจอแบบ Resistive เลยทำให้การสัมผัสสั่งงานด้วยนิ้วมันทำงานได้ไม่ค่อยดีเท่าไร คือพูดกันตรงๆเลยละกันว่า มันตอบสนองสู้ iPhone ไม่ได้ ก็เพราะว่าหน้าจอ iPhone มันเป็นหน้าจอระบบสัมผัสแบบ Capacitive นั่นเอง ซึ่งตอบสนองการสั่งงานด้วยนิ้วได้ดีกว่า แต่ข้อเสียก็คือไม่สามารถใช้ Stylus หรือวัสดุอื่นๆจิ้มได้
   เครื่องนับแต่ปี 2009 นี้เป็นต้นไป คาดกันว่าเครื่องรุ่นไหนไฮโซหน่อยก็จะใช้หน้าจอแบบ Capacitive ส่วนเครื่องรุ่นธรรมดาก็อาจจะใช้ Resistive สำหรับในตลาดเวลานี้เครื่อง PDA Phone ที่เป็นหน้าจอแบบ Capacitive เท่าที่เห็นๆกันก็จะมี iPhone , HTC Magic , HTC Hero และ Palm Pre อ้อ! และที่กำลังตามมาติดๆก็คือ Nokia X6 ส่วนความแตกต่างของเรื่องหน้าจอเป็นตัวบ่งชี้ราคาและกลุ่มตลาดเพื่อแบ่งตำแหน่งสินค้า ซึ่งที่เห็นกันชัดๆล่าสุด อย่างเครื่อง PDA phone ในแบบ แอนดรอยด์ตัวล่าสุดของ HTC ที่ชื่อว่า Tattoo นั้น มันเป็นเครื่องราคาประหยัดเค้าเลยแหวกแนวไปใช้หน้าจอแบบ Resistive Touch Screen แทน ซึ่งโดยปกติแล้วน่าจะเป็นหน้าจอแบบ Capacitive แบบแอนดรอยด์ตัวอื่นๆ เอาหละครับ เรามาดูความแตกต่างกันดีกว่าระหว่างหน้าจอ Resistive กับ Capacitive

   1.หน้าจอแบบ Resistive
   เทคโนโลยี Resistive ถือว่าเป็นแบบที่ประหยัดและเหมาำะกับการใช้งานประเภทต่างๆได้กว้างขวาง เช่ีน ร้านอาหาร ร้านค้าที่ใช้เครื่อง POS งานควบคุมทางด้านอุตสาหกรรม รวมทั้งใช้ในอุปกรณ์พกพาอย่าง PDA, Mobile เป็นต้น
   Touch Screen แบบ Resistive จะประกอบด้วย เลเยอร์ด้านบนที่ยืดหยุ่นและเลเยอร์ด้านล่างที่อยู่บนพื้นแข็งคั่นระหว่าง 2 เลเยอร์ด้วยเม็ดฉนวนซึ่งทำหน้าที่แยกไม่ให้ด้านในของ 2เลเยอร์สัมผัสกันเำพราะด้านในของ 2 เลเยอร์นี้จะเคลือบด้วยสารตัวนำไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติโปร่งแสงในเวลาจะมีการปล่อยกระิแสที่เลเยอร์สารตัวนำ และเมื่อคุณกดที่Touch Screen จะทำให้วงจร 2 เลเยอร์ต่อถึงกัน จากนั้นวงจรควบคุมก็จะคำนวณค่ากระแสไฟฟ้า ซึ่งจะแตกต่างไปตามตำแหน่งที่สัมผัส เมื่อคำนาณค่ากระแสตามแนวตั้งและแนวนอนก็จะำได้ตำแหน่งที่สัมผัสบนหน้าจอ

 จุดแข็งของ Resistive 
- ราคาไม่แพง
- สามารถใช้อะไรสัมผัสก็ได้
- หาตำแหน่งที่สัมผัสได้ละเอียด
- กินไฟน้อย 

   2. หน้าจอแบบ Capacitive 
   เทคโนโลยี Capacitive มีคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งความทนทานความโปร่งแสงมักเป็นที่นิยมใน Application ประเุภท เกมส์ Entertrainment , ATM, Kiosk อุปกรณ์ทางอุตสาหกรรม และ POS 
   โึครงสร้างของ TouchScreen แบบ Capacitive นั้นประกอบด้วยแผ่นแก้วเึคลือบผิวด้วยอ็็อกไซด์ของโลหะแบบโปร่งแสง เมื่อถึงเวลาการใช้งานก็จะมีการป้อนแรงดันไฟฟ้าที่มุมทั้วสี่ของ Touch Screen เพื่อสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าความเข้มสม่ำเสมอตลอดทั่วทั้งแผ่น ผู้ใช้จะต้องใช้นิ้วมือเปล่าๆสัมผัสที่จอเพื่อดึงกระแสจากแต่ละมุมที่ให้แรงดันตกลง จากนั้นแผงวงจรควบคุมก็จะคำนวณเป็นตำ้เหน่งที่สัมผัสได้ 



จุดแข็งของ Capacitive 
- มีความคมชัด
- แสงจากหน้าจอสามารถผ่านออกมาได้ ภาพจึงชัด
- หาตำแหน่งที่สัมผัสได้ละเอียด สามารถสัมผัสด้วยนิ้ว

ที่มา: http://hitech.sanook.com/technology/news_13265.php